ใครเป็นใคร...บนธนบัตรญี่ปุ่น |
ธนบัตร 1000 เยน |
Mr. Soseki Natsume |
Soseki(ชื่อ) Natsume(สกุล) นักประพันธ์เรื่องนวนิยายชื่อดังคนหนึ่งของสมัย Meiji ซึ่งเป็นสมัยที่การปกครองของรัฐบาล Edo โดย Samurai จนสิ้นและประเทศญี่ปุ่นเปิดประเทศเพื่อจะพัฒนาให้ทันกับประเทศทางตะวันตก Souseki (ชื่อนี้เป็นนามปากกา ชื่อจริงชื่อ Kinnosuke) เกิดที่ Edo (Tokyo) เมื่อปี พ.ศ.2410 เรียนจบที่มหาวิทยาลัย Tokyo วิชาอักษรศาสตร์ภาษาอังกฤษ หลังจากนั้นได้ทำงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่จังหวัด Ehime สักครู่ แล้วได้ทุน Monbushou (กระทรวงศึกษาธิการ) ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษเป็นนักวิจัย กลับมาแล้วได้ตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยโตเกียว เป็นอาจารย์สอนอักษรศาสตร์ภาษาอังกฤษ และเริ่มเขียนเรื่องนวนิยายเป็นงานอดิเรก อย่างเช่น Wagahai wa neko de aru (ข้าพเจ้าเป็นแมว) หรือ Bocchan (คุณลูกชาย) ซึ่งได้รับการสรรเสริญจากผู้อ่านอย่างมากในสไตล์การเขียนรุ่นใหม่ Souseki จึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ และเข้าบริษัทหนังสือพิมพ์ Asahi เพื่อจะเป็นนักประพันธ์มืออาชีพ ตั้งแต่นั้น Souseki ก็ได้ประพันธ์เรื่องที่มีคุณภาพหลายเรื่อง ผลงานของ Souseki ช่วงแรกมีเชาวน์และปัญญา เน้นความสนุกทางสมอง ช่วงหลังเนื้อหาของเรื่องเขาเริ่มเน้นความทุกข์ของชีวิตเป็นมนุษย์และมีความ หมายลึกซึ้งอย่าง เช่น Kokoro (ใจ) เป็นต้น Souseki เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2459 โดยโรคกระเพาะ คนญี่ปุ่นโดยทั่วไปมักนับ Souseki คนนี้เป็นอันดับหนึ่งในนักประพันธ์เรื่องนวนิยายยอดเยี่ยม อย่างน้อยก็เป็นคนสำคัญของสมัย Meiji ที่ได้เปิดโลกการประพันธ์แบบทันสมัยของประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้นะครับ |
ผลงานเรื่องนวนิยายของ Souseki Natsume สามารถ download ได้จาก http://www.aozora.gr.jp/sakka_souseki.html |
ธนบัตร 5000 เยน |
Dr. Inazo Nitobe |
Dr. Inazo(ชื่อ) Nitobe(สกุล) อาจารย์เศรษฐศาสตร์ด้านการเกษตร และที่ปรึกษาด้านนโยบายการศึกษาของรัฐบาลสมัย Meiji เกิดที่เมือง Morioka จังหวัด Iwate เมื่อปี พ.ศ.2405 เรียนที่โรงเรียนเฉพาะภาษาอังกฤษแห่งโตเกียว (ปัจจุบัน Tokyo University of Foreign Studies) และมหาวิทยาลัย Tokyo (แต่ไม่สำเร็จ) หลังจากนั้นได้ไปเรียนต่อที่ Johns Hopkins University ในสหรัฐอเมริกา แล้วไปเรียนต่ออีกที่ Bonn University และ Berlin University ในประเทศเยอรมันด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตร จนได้ปริญญาเอกจาก Halle University ประเทศเยอรมัน Dr. Inazo ได้สมรสกับผู้หญิงชาวอเมริกาและเปลี่ยนศาสนาที่นับถือเป็นศาสนาคริสต์ หลังจากกลับมาที่ประเทศญี่ปุ่นแล้วได้ตำแหน่งเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Kyoto และตอนหลังได้เป็นอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยสตรี Tokyo Joshi Daigaku นอกจากนี้ได้เขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเพื่อจะแนะนำวัฒนธรรมญี่ปุ่นให้กับคนต่างชาติ อย่างเช่น Bushidou (ศิลปการนักรบของญี่ปุ่น) ซึ่งได้รับการสรรเสริญจากชาวอเมริกา Dr. Inazo ยังได้เป็นรองเลขาธิการใหญ่ของสันนิบาตชาติ (ปัจจุบันสหประชาชาติ) และได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายการศึกษาของรัฐบาล เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างแบบอินเตอร์ (;-) และเป็นคนที่พยายามส่งเสริมมิตรภาพระหว่างประเทศเพื่อไม่ให้ก่อสงครามขึ้นในสมัยนั้น(ก่อนสงครามโลกครั้งที่2) Inazo เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2476 ที่เมือง Victoria สหรัฐอเมริกา |
ธนบัตร 10000 เยน |
Mr.Yukichi Fukuzawa |
Yukichi(ชื่อ) Fukuzawa(สกุล) นักวิจารณ์และปฎิวัติด้านการศึกษาหลายด้านของสมัย Edo ตอนสุดท้ายและสมัย Meji ตอนต้น เกิดที่บ้าน Samurai ระดับปานกลางของเมือง Osaka เมื่อปี พ.ศ.2378 สมัยนั้นประเทศญี่ปุ่นยังเป็นสมัย Edo ซึ่งยังไม่มีมหาวิทยาลัยสักแห่งในประเทศ Yukichi จึงได้ไปเรียนวิชาแพทย์ทางตะวันตก (Rangaku) ที่เมือง Nagasaki (ในสมัย Edo ประเทศญี่ปุ่นปิดประเทศอยู่ และเมือง Nagasaki เป็นเมืองแห่งเดียวในประเทศที่รัฐบาล Edo อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาติดต่อได้ ซึ่งวัฒนธรรมและสิ่งต่าง ๆ ของต่างประเทศก็ได้เข้ามาถึงประเทศญี่ปุ่นที่เมือง Nagasaki นั้นหมด) หลังจากกลับมาที่ Osaka แล้ว Yukichi ได้เริ่มทำงานในสังคม Samurai แต่มีความอยากที่จะเรียนหนังสือต่ออย่างมาก จนลาออกจากตำแหน่ง Samurai โดยขัดแย้งกับทางบ้าน(แต่มีคนหนึ่งสนับสนุนเขาอยู่คนเดียว คือคุณแม่เขา) และเริ่มเรียนวิชาใหม่ ๆ ของสมัยนั้นที่ค่อย ๆ เข้ามาจากต่างประเทศ หลังจากได้รู้ถึงว่าประเทศญี่ปุ่นล้าสมัยในโลกไปแล้ว เขาก็ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง และอ่านหนังสือของต่างประเทศเป็นร้อย ๆ เล่ม เนื่องจากว่า Yukichi มีความรู้ด้านวิชาการและภาษาของต่างประเทศอย่างมาก เขาจึงได้เป็นสมาชิกคณะผู้แทนประเทศญี่ปุ่นที่รัฐบาล Edo ส่งไปทัศนศึกษาที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปและอเมริกา Yukichi ได้เขียนหนังสือหลายเล่มที่แนะนำวิชาและเทคโนโลยีของต่างประเทศ และสนับสนุนการศึกษาให้ประชาชน เช่น Gakumon no susume (การแนะนำการศึกษา) เป็นต้น Yukichi ยังเป็นคนที่ได้ก่อตั้งโรงเรียนนานาวิชาต่างประเทศเอกชนแห่งแรก ซึ่งตอนหลังเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น (Keio University) นับตั้งแต่สมัยนั้นมาจนถึงปัจจุบัน คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่นับถือคนนี้มากในฐานะที่เป็น "พระเจ้าของการศึกษา" Yukichi เสียชีวิตเมื่อปีพ.ศ.2444 |
ธนบัตร 2000 เยน |
Murasaki Shikibu |
นักวิจัยอักษรศาสตร์ทั่วโลกหลายคนพูดถึงคนนี้ว่า เป็นนักประพันธ์เรื่องนวนิยายแบบ "สมัยใหม่" (Modern) คนแรกในประวัติศาสตร์โลก ชื่อ Murasaki Shikibu นี้ไม่ใช่เป็นชื่อจริง คล้ายกับว่าเป็นชื่อเล่นหรือนามปากกา ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าชื่อจริงชื่ออะไร เพราะเป็นคนสมัยโบราณมากและในปัจจุบันมีข้อมูลรายละเอียดไม่มากนัก Murasaki Shikibu เกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.1513 (ค.ศ. 970) เป็นลูกสาวคนที่สองในครอบครัวของข้าราชการปานกลางคนหนึ่งบริเวณเมือง Kyoto ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ตอนเด็กของเธอไม่ค่อยมี แต่มีอยู่ว่าเป็นเด็กฉลาดมากเรียนหนังสือเก่งจึงทำให้พ่อบอกว่าเสียดายที่ ไม่ได้เป็นผู้ชาย ตอนเป็นสาว Murasaki Shikibu ได้เข้าไปทำงานในวังของคนชั้นสูงเชื้อสายจักรพรรดิคนหนึ่ง แต่ไม่ได้มีแฟนเป็นเวลานานมาก ซึ่งผู้หญิงญี่ปุ่นสมัยนั้นส่วนใหญ่แต่งงานกันตอนอายุไม่ถึง 20 ปี แต่กว่า Murasaki Shikibu จะสมรสกับชายคนหนึ่งที่มีอายุมากกว่าเธอ 17ปี ก็เป็นตอนที่ Murasaki Shikibu อายุประมาณ 27~28ปี แล้ว หลังจากแต่งงานแล้วปีกว่า ได้มีลูกสาวคนหนึ่ง แต่อีกปีหนึ่งต่อมา สามีเธอเสียชีวิตโดยโรคระบาด หลังจากนั้นเป็นต้นมาจนถึงสิ้นลมหายใจเมื่อตอนอายุประมาณ 42 ปี Murasaki Shikibu ก็ไม่ได้แต่งงานอีกและทำอย่างหนึ่งอย่างเดียว คือการประพันธ์เรื่องนวนิยายที่มีชื่อเสียง Genji Monogatari (เรื่องของGenji) จริง ๆ แล้วนอกจากเรื่องนี้เธอก็ได้เขียนหลายเรื่องรวมถึงกลอนแบบญี่ปุ่น (Waka)ไม่น้อยเหมือนกัน แต่คนญี่ปุ่นตามปกติก็รู้จักแต่ Genji Monogatari อย่างเดียวนะครับ เนื้อหาของเรื่อง Genji Monogatari ก็คือ เรื่องประวัติความรักหลายเรื่องของชายสุดหล่อคนหนึ่งชื่อ Hikaru Genji ซึ่งในปัจจุบันผู้หญิงญี่ปุ่นบางคนก็ยังถืออยู่ว่าเป็นผู้ชายในฝัน สิ่งที่น่าสนใจของเรื่องนี้ก็คือ แม้ว่ามีเรื่องความรักระหว่าง Genji กับผู้หญิงหลายคนหลายอย่างรวมถึงเรื่องการเลี้ยงต้อยและเรื่องการร่วม ประเวณี แต่สไตล์การเขียนของ Murasaki Shikibu ไม่ลามกไม่น่าเกลียดแต่อย่างได และยังเป็นเรื่องที่ประทับใจแบบซึ้งได้ รวมถึงกลอนแบบญี่ปุ่น เพราะๆ ที่ได้นำมาใช้ในเรื่องนี้อย่างมากมาย มีนักประพันธ์ปัจจุบันที่เขียนเรื่องแบบทันสมัยสุด ๆ หลายคนยังบอกว่า เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องความรักที่ยอดเยี่ยมในปัจจุบัน(ไม่ใช่ในอดีต) ขนาดเป็นเรื่องของสมัยโบราณมาก เมื่อ 1000 กว่าปีที่แล้วนะครับ แต่ถ้าหากคุณสนใจและอยากอ่านเรื่องนี้ ผมก็ต้องบอกก่อนว่า เรื่องนี้ได้เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นสมัยโบราณซึ่งคนญี่ปุ่นปัจจุบันเองก็อ่าน ไม่รู้เรื่องเลย (เราก็เรียนภาษานี้ตอนมัธยมปลายแต่ยากมาก) ซึ่งคงต้องอ่านฉบับที่แปลเป็นภาษาปัจจุบันแล้วนะครับ (มีฉบับหลายอย่างที่แปลโดยนักประพันธ์ดัง ๆ ของยุคนี้หลายคน) |
(ข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นภาษาอังกฤษ) http://www.womeninworldhistory.com/heroine9.html (เนื้อหาเรื่อง Genji Monogatari แบบย่อสรุป) http://www3.plala.or.jp/yeskeiko/arasuji.html (เรื่อง Genji Monogatari ทั้งหมดที่ได้แปลเป็นภาษาปัจจุบันโดย Akiko Yosano - กวีกลอนญี่ปุ่นชื่อดังคนหนึ่งของสมัย Meiji) http://www.aozora.gr.jp/cards/genjimonogatari/genji.html (คำเตือน: ยาวมากและยังป้อนลงไปในเว็บไม่หมด) |
ในปี 2004 จะมีการนำธนบัตรแบบใหม่ออกมาใช้ 3 แบบคือ |
ธนบัตร 10000 เยน ( แบบใหม่ ) |
Mr.Yukichi Fukuzawa : คนเดิมแต่เปลี่ยนลายด้านหลัง |
ธนบัตร 5000 เยน ( แบบใหม่ ) |
Ichiyou Higuchi |
Ichiyou(ชื่อ) Higuchi(สกุล) |
ผลงานเรื่องนวนิยายของ Ichiyou Higuchi สามารถ download ได้จาก http://www.aozora.gr.jp/sakka_ichiyou.html |
ธนบัตร 1000 เยน ( แบบใหม่ ) |
Dr.Hideyo Noguchi |
Dr. Hideyo(ชื่อ) Noguchi(สกุล) นักวิจัยการแพทย์ทางวิชาบัคเตรี ชื่อดังระดับโลกคนหนึ่งของสมัย Meiji Hideyo (ชื่อนี้เป็นชื่อที่เขาตั้งใหม่ตอนหลัง ชื่ออันเดิมเป็น Seisaku) เกิดเมื่อปี พ.ศ.2419 ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัด Fukushima ตอนเขาอายุหนึ่งขวบครึ่ง เขาตกลงไปในเตาไฟแบบญี่ปุ่นที่มีอยู่ที่พื้น และโดนลวกสาหัสที่มือซ้ายซึ่งผิวหนังของมือเขาลอกละลาย และทำให้นิ้วของมือซ้ายเขาติดกันหมดจนใช้การไม่ได้อย่างคล้ายเป็นพิการ ครอบครัวเขาก็ยากจนมาก พ่อก็ไม่ทำงานกินแต่เหล้าที่บ้าน แต่ Seisaku เป็นเด็กเรียนเก่ง ครูที่โรงเรียนจึงรับภาระค่าเรียนให้หมด เพื่อนที่โรงเรียนก็สนับสนุนเขาให้อย่างด ี ตอนอายุ 15 ปี เพื่อน ๆ ของโรงเรียนช่วยกันบริจาคเงินที่จะรักษามือของ Seisaku ให้ได้โดยหมอชื่อดังคนหนึ่ง ซึ่งในที่สุดมือซ้ายของเขากลับมาใช้การได้อีก Seisaku ได้ประทับใจมากในผลงานของการแพทย์ที่รักษามือของตัวเองให้ได้ และตั้งใจว่าจะเป็นนายแพทย์ ซึ่งขอเริ่มทำงานเป็นผู้ช่วยหมอคนที่รักษามือให้ และเรียนการแพทย์อย่างจริงจัง ตอนอายุ 21 ปี Seisaku ได้เข้าไปทำงานที่ศูนย์วิจัยโรกระบาด และเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Hideyo เพื่อตั้งใจจะเป็นคนเยี่ยมระดับโลก (ชื่อว่า Hideyo มีความหมายว่า คนเก่งระดับโลก) หนึ่งปีต่อมา Hideyo ได้ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาโดยได้ทุนช่วยเหลือจากหมอชาวอเมริกาคนหนึ่ง หลังจากนั้นผลงานของ Hideyo คนนี้นเป็นสิ่งที่น่าพิศวงใจ เขาได้พบเชื้อโลกหลายชนิดที่ทำให้เกิดโลกระบาดต่าง ๆ อย่างรวดเร็วติดต่อกัน เช่นเชื้อไข้เหลือง(Yellow fever)และชื้อซิฟิลิส เป็นต้น เพราะวิธีการวิจัยของเขาเป็นวิธีใหม่ที่เขาสร้างเอง และมีลักษณะพิเศษที่พบเชื้อโลกได้เร็วมาก ในคณะที่นักวิจัยคนอื่นทั่วโลกได้หาทั้งนานแล้วไม่เคยพบ Hideyo รักคุณแม่มากซึ่งคุณแม่เป็นผู้ที่สนับสนุนให้เขาตั้งใจศึกษาอย่างเต็มที่ เขาพยายามส่งเงินและติดต่อแม่จากอเมริกาตลอด Hideyo มีภรรยาเป็นชาวอเมริกาและได้อยู่ที่สหรัฐอเมริกานานเป็น 30 ปี แต่ไม่มีลูก ชอบแต่ทำงานหนักอย่างเดียว แต่ภรรยาก็เข้าใจเขาดีและได้ช่วยงานเขา Hideyo เสียชีวิตโดยเชื้อโลกที่เขาพบเอง(Yellow fever) ที่ประเทศ Ghana ในแอฟริกาเมื่อปี พ.ศ.2471 |
(ข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นภาษาอังกฤษ) http://www.anb.org/articles/12/12-00666-article.html |
สาเหตุที่มีนักประพันธ์หลายคนในธนบัตรญี่ปุ่น ผมคิดว่าคนญี่ปุ่นนับถืออาชีพเป็นนักประพันธ์อย่างมาก อย่างน้อยเท่าๆ กับอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือมากกว่านั้นอีก ซึ่งวรรคดีของญี่ปุ่นโดยปกติค่อนข้างเน้นเนื้อหาทางศิลปะ และไม่ค่อยเน้นความสนุกแบบเบาสมอง บางทีเรื่องนวนิยายของญี่ปุ่นอ่านยากมาก มีความหมายซับซ้อนและเข้าใจยาก(สุดๆ) หรือไม่ก็มีเซ้นส์ทิพยรสอย่างอ่อนโยนละเอียด(สุดๆ) มีนักประพันธ์ญี่ปุ่นคนหนึ่งยังบอกว่าเรื่องนวนิยาย ของญี่ปุ่นบางอย่างจะแปลเป็นภาษาต่างประเทศไม่ได้ เพราะแปลความหมายและเซ็นส์ทั้งหมดไม่ได้เลย แต่เมื่อได้อ่านสำเร็จและเข้าใจความหมายแล้วทำให้ผู้อ่านมี ความประทับใจแบบไม่มีวันลืมได้นะครับ สรุปไม่ค่อยได้แต่...อย่างไรผมก็บอกได้ว่าคนญี่ปุ่นโดยทั่วไปคิดอย่างไม่สงสัยเลยว่า นักประพันธ์หลายคนสมควรออกมาในธนบัตรได้ เพราะเป็นคนที่สร้างผลการที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม |